ประวัติความเป็นมาของกรุงธนบุรี
ประวัติความเป็นมาของกรุงธนบุรี
เมื่อกรุงศรีอยุธยาถูกกองทัพพม่ายึด และเผาทำลายเมื่อวันที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ นับเป็นการเสียกรุงให้พม่าเป็นครั้งที่ ๒ (กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าครั้งที่ ๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๑๑๒) ก่อนกรุงศรีอยุธยาจะตกอยู่ในอำนาจพม่านั้น พระเจ้าตากพร้อมสมัครพรรคพวกได้ออกจากกรุงศรีอยุธยาไปทางตะวันออก ผ่านปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง แต่กว่าจะผ่านแต่ละเมืองไปถึงเมืองจันทบุรีก็มิใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะไม่มีใครไว้ใจใคร พระเจ้าตากจึงต้องใช้กำลังปราบปรามเรื่อยไป จนถึงเมืองจันทบุรีและตั้งหลักเพื่อรวบรวมกำลังพลที่นั่น เมื่อรวบรวมผู้คนและเสบียงอาหารได้แล้ว ก็จัดกำลังกองทัพเรือมาทางปากน้ำเพื่อขับไล่พม่าทำการสู่รบจนสามารถยึดกรุงศรีอยุธยาคืนจากพม่าได้เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๑๐
เมื่อพระเจ้าตากถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าเอกทัศ แล้วทรงมีพระประสงค์ที่จะปฏิสังขรณ์พระนคร เพื่อตั้งเป็นเอกสารชดังเดิม จึงขึ้นช้างตรวจตราดูสภาพกรุงศรีอยุธยา เห็นว่าถูกเผาทำลายไปเป็นอันมาก ที่ยังดีอยู่ก็มีน้อยจึงสังเวชสลดใจ แต่แล้วในคืนหนึ่งขณะที่ประทับแรม ณ พระที่นั่งทรงปืน ภายในกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าตากทรงพระสุบันนิมิตไปว่า พระมหากษัตริย์แต่ก่อนมาขับไล่ไม่ให้อยู่ รุ่งเช้าจึงตรีสเล่าให้ขุนนางทั้งปวงฟัง “เราคิดสังเวชเห็นว่าบ้านเมืองจะรกร้างเป็นป่า จะมาช่วยปฏิสังขรณ์ ทำนุบำรุง ให้ดีดังเก่า เมื่อเจ้าของเดิมขังหวงแหนอยู่ เราชวนกันกันไปสร้างเมืองธนบุรีอยู่เถิด”
ดังนั้น พระเจ้าตากจึงอพยพผู้คนลงมาทางชลมารค เพื่อตั้งราชธานีที่เมืองธนบุรี พร้อมทั้งตั้งสัตยาธิษฐานว่ารุ่งแจ้งที่ใดจะสร้างวัดที่นั่น และมารุ่งอรุณที่วัดมะกอก ซึ่งเป็นวัดเดิมที่มีอยู่แล้ว พระเจ้าตากจึงเปลี่ยนชื่อจากวัดมะกอกเป็น วัดแจ้ง (รัชการที่ ๒ เปลี่ยนชื่อเป็นวัดอรุณราชธาราม ถึงรัชกาลที่ ๔ และเปลี่ยนเป็น วัดอรุณราชวราราม จนถึงปัจจุบัน)
พระเจ้าตากทรงสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นเมืองหลวง และพระราชทานนามว่า “กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร” ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์เมื่อวันพุธ แรม ๔ ค่ำ เดือนอ้าย ปีกุน นพศก จุลศักราช ๑๑๒๙ ตรงกับวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๑๑ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ ที่ ๘ หรือสมเด็จพระบรมราชาที่ ๔ แต่ขุนนาง ไพร่ฟ้าราษฎรนิยมเรียกพระองค์ท่านว่า “สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือ สมเด็จพระเจ้าตากสิน” ขณะที่มีพระชนมพรรษาได้ ๓๓ พรรษา กรุงธนบุรี มีอายุเพียง ๑๕ ปี เมื่อมีกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นมาแทน ในวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแม่น้ำสายหลักของกรุงเทพมหานคร เป็นเส้นกั้นแบ่งพื้นที่กรุงเทพมหานครออกเป็น ๒ ฝั่ง ได้แก่ ฝั่งพระนคร และฝั่งธนบุรี ครั้งสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชขึ้นครองราชย์ ณ กรุงธนบุรี ได้ขยายอาณาเขตกว้างขวางมากกว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยการรวมประเทศเข้าเป็นปึกแผ่น โดยการแสดงอำนาจและความกล้าหาญให้ปรากฏแก่พม่าจากการรบที่ผ่านมา
(อ้างอิง: แผ่นดินไทย, กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์, ม.ป.ป.: ๔๒ และ มูลนิธิอนุรักษณ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม, สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, ๒๕๔๓: ๑๐๗-๑๐๙)